MY BURBERRY BLACK เสน่ห์เย้ายวน ลึกลับ ตรึงใจ

สวัสดีค่ะทุกคน

ถ้าพูดถึงน้ำหอม พี่ปิ่นเชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะมีกันหลายขวด หลายแบรนด์ เพื่อเก็บสะสมรวมทั้งใช้ หรือบางคนอาจจะมีน้ำหอมอยู่ไม่กี่ขวดซึ่งโดยส่วนใหญ่กลิ่นที่มีก็จะไม่ห่างจากกันมากแตกต่างกันออกไปตามรสนิยมและความชอบล้วนๆ

และพี่ปิ่นเป็นหนึ่งในคนที่มีน้ำหอมใช้อยู่ไม่กี่ขวดค่ะ เพราะกลิ่นที่เราชอบเป็นกลิ่นที่เฉพาะทาง พี่ปิ่นชอบกลิ่นที่ออกมะลิ หรือมีมะลินำค่ะ

ขอสารภาพกงนี้เลยว่าปิ่นเป็นคนที่ชอบน้ำหอมกลิ่นมะลิมาก แต่เคยพรมน้ำอบก็มีคนตกอกตกใจเพราะคิดว่าเจอกับสิ่งลี้ลับมาแล้ว (อันนี้เรื่องจริง ตอนนั้นเรียนอยู่มหาลัย อาบน้ำเสร็จก็พรมน้ำอบ ไม่กี่นาทีถัดมา เพื่อนข้างห้องเปิดประตูเข้ามาทำหน้าตาตื่น แล้วถามว่า พวกแกได้กลิ่นน้ำอบไหม ฉันโดนผีหลอกกกกก ฮ่าๆๆๆๆๆ )

ลองน้ำหอมที่มีกลิ่นมะลินำมาหลากหลายก็โดนทักว่าพอได้กลิ่นแล้วเหมือนกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนมะลิของคุณยาย โอ้ยตาย เสียเซลฟ์มาหลายครั้งเพราะกลิ่นโปรดของเราเอง

แต่มีอยู่วันหนึ่งเดินผ่านช็อป BURBERRY ก็เหลือบไปเห็นน้ำหอมขวดนี้เข้าค่ะ

My

BURBERRY 

black

EDP

 เป็นน้ำหอมแบบ EDP ปิ่นโดนตกตั้งแต่ขวด ดีไซน์ดูลึกลับน่าค้นหาเลยขอลองที่เค้าน์เตอร์กันเลย

แค่ฉีดมาฟึ่บแรก อื้อหื้อ โงหัวไม่ขึ้นตั้งแต่ top note กลิ่นมะลิเย็นๆ นั่งพับเพียบร้อยมาลัยที่เราชื่นชอบถูกผสมผสานอย่างพอเหมาะเพิ่มความอุ่นด้วยกุหลาบทำให้กลิ่นนุ่มนวลขึ้น และมีความสดชื่นจากกลิ่นลูกพีชให้ฟีลเหมือนหญิงสาวที่มีมาด ใจเย็น แต่ก็มีความร่าเริงแจกความสดใสให้ทุกคน แต่เมื่อเวลาดำเนินไปถึงตอนพลบค่ำกลิ่นถูกชูด้วยแพทชูลี่ที่เป็นกลิ่นอันแสนสงบ และเพิ่มความล้ำลึกด้วยแอมเบอร์เปลี่ยนร่างเป็นสาวเซ็กซี่ชุดดำเดินอยู่บนพรมแดง 

กลิ่นมันซับซ้อนเหมือนบุคลิกเราจนสามีบอกว่า “กลิ่นนี้มันคือตัวตนของเธอ” ซึ่งปิ่นก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน my BURBERRY black ขวดนี้เป็นการนำกลิ่นเย็นอย่างมะลิมาปรุงสุกให้มีความอุ่นอ้าวกำลังดี เป็นกลิ่นที่เซ็กซี่ ลึกลับ น่าค้นหา แต่ก็น่าเกรงขามอยู่ในทีเช่นกัน โอ้ย! ฉันหลงรักกลิ่นนี้มาก!

กลิ่นก็ติดทนดีมาก และกลิ่นจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและอุณหภูมิของเราแต่จะไม่หนีไปจากกลิ่นแรกที่ได้ฉีดมากนัก เรียกได้ว่าฉีดเช้าจะได้กลิ่นมะลิแฝงในความนุ่มนวลอุ่นอาย พอพลบค่ำก็เริ่มลึกลับเซ็กซี่อย่างแอมเบอร์ อาบน้ำนอนยังได้กลิ่นที่ติดอยู่ตรงปลายผมเฉียดๆ อยู่เลยค่ะ กลิ่นติดทนมาก!

ไม่ใช่แค่ปิ่นที่หลงใหลแต่ดูเหมือนว่าคุณสาจะลุ่มหลงมากเป็นพิเศษนัวเนียขอดมกันทั้งวัน ส่วนคนรอบข้างอย่างเพื่อนหรือน้องๆ ที่ทำงานต่างก็บอกว่าปิ่นตัวหอมมาก ไม่เป็นสวนมะลิของคุณยายอีกแล้วค่ะ 

มงลงที่ BURBERRY black ขอยกเป็นน้ำหอมประจำตัวไปเลยค่ะ

สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน

แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้าจ้า

บาย

sasi Magic Collection ใหม่หมดจด มอบผิวเนียนสวยยิ่งกว่าเคย

สวัสดีค่ะทุกคน

จะบอกว่าตอนนี้กำลังอินกับแป้งพัฟตัวหนึ่งค่ะ ที่นอกจากจะปกปิดขั้นสุดแล้ว ยังมาในรูปโฉมใหม่ที่เห็นแล้วต้องพกไว้ในกระเป๋าตลอดค่ะ เพราะน้องน่ารักมาก! นอกจากนี้ราคาก็ดี เรียกว่าเป็นแป้งพัฟถูกและดียังมีหลงเหลือให้อิฉันได้ตะลึง! วันนี้ปิ่นจะรีวิวแป้งพัฟผสมรองพื้นสูตรใหม่ของ sasi ให้ทุกคนได้กรีดร้องแบบปิ่นกันค่ะ

sasi

Foundation Powder

Magic Matte / Magic Glow

ครั้งแรกที่เห็น เห็นกล่องก็ว่าน่ารักแล้ว พอเปิดกล่องมาเห็นตลับนี่ปิ่นถึงกับว้าว! เรียกน้องเลยทันที สีตลับน่ารักปุ๊กปิ๊ก น่าใช้เป็นที่สุดเลยค่ะ 

น้องมี 2 สูตรค่ะ แต่ละสูตรจะเป็นอย่างไร วันนี้ปิ่นจะมาเล่าให้ฟัง เชื่อพี่เหอะ พี่ลองมาให้หมดแล้วจริงๆ

มาดูที่สูตรแรกกันค่ะ ขอเรียกว่าเป็นแป้งตลับผิวเนียนแล้วกัน

sasi

Foundation Powder

Magic Matte

8.5 g 139 THB

มาดูที่น้องคนแรกก่อนค่ะ มาในตลับสีชมพูพาสเทล น่ารักมากกกกก มากถึงมากที่สุด เป็นแป้งรองพื้นที่ให้ผิว Matte เนียนเป๊ะ แนบไปกับผิว พร้อมปกป้องผิวจากแสงแดดเพราะมีค่า SPF 30 PA++++ ปกปิดปานกลางถึงสูงสุด ไม่อุดตัน ติดทน กันน้ำ กันเหงื่อ ควบคุมความมันได้ 12 ชั่วโมง ด้วยเทคโนโลยี Double – Function Fit และมีวิตามิน E ช่วยบำรุงผิวไปในตัวด้วยค่ะ

ต้องบอกก่อนว่าแป้ง Magic Matte นี้ถูกพัฒนามาจากรุ่นเดิมตลับขาวซึ่งปิ่นก็ใช้อยู่เช่นเดียวกัน เดี๋ยวจะบอกว่าพัฒนาอะไรไปบ้าง

แต่ก่อนอื่นมาดูลักษณะภายนอกกันก่อนดีกว่า เพราะปิ่นเลิฟมากจริงๆ เป็นพวกแพ้แพคเกจค่ะ

ตลับน้องเป็นพลาสติกที่ค่อนข้างคงทน มีชั้นเก็บฟองน้ำให้และกระจก ในส่วนของฝาพักก็ถูกดีไซน์ใหม่และประกอบมาแข็งแรงทีเดียวค่ะ

มีเฉดสีทั้งหมด 3 สีด้วยกัน

  • 01 Light
  • 02 Medium
  • 03 Warm

ที่นี้อย่างที่ปิ่นได้เกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ว่าน้องคนนี้ถูกปรับปรุงมาจากสูตรเดิมตลับขาวที่เป็นตัวขายดีของแบรนด์ มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างมาดูกันค่ะ

เทียบให้เห็นกันชัดๆ ไปเลยระหว่าง sasi Magic Matte เก่ากับ  sasi Magic Matte ใหม่ ที่เห็นได้ง่ายสุดก็จะเป็นเรื่องของแพคเกจค่ะ

sasi Magic Matte รุ่นเก่าตลับขาวจะไม่มีชั้นวางพัฟฟองน้ำแยก ต้องวางบนตัวแป้งโดยตรง ตัวพลาสติกภายนอกดูบอบบางไปนิด โดยเฉพาะบริเวณจุดเชื่อมฝาพับ เปิดปิดบ่อยๆ มีขาดออกจากกันค่ะ ซึ่งทาง sasi ก็ได้ฟังเสียงของผู้ใช้จึงได้ทำการปรับปรุงแล้วออกใหม่เป็นรุ่น Magic Matte ตลับสีชมพูค่ะ

นอกจากนี้ในเรื่องของสีแป้ง แม้จะออกมา 3 เฉดสีเท่าเดิม แต่ว่าในรุ่นเก่าจะติดเหลือง และความต่างระหว่างสี W1 กับ W2 ค่อนข้างน้อย แม้ว่าปิ่นจะไม่ใช่สาวผิวสีน้ำผึ้งแต่ปิ่นต้องใช้เบอร์ W3 ซึ่งเป็นสีที่เข้มสุดแล้วแต่ก็ยังติดขาวอยู่ แต่ยอมเพราะปกปิดดีมากจริงๆ และยังคุมมันได้ดีทีเดียวค่ะ

และแน่นอนว่า sasi ก็ฟังเสียงลูกค้า จึงได้ทำการปรับปรุงให้สูตร Magic matte ไม่ติดเหลืองเท่ารุ่นเก่า และเฉดสีต่างกันชัดเจนทำให้ในครั้งนี้ปิ่นได้ใช้สี 02 Medium ได้พอดิบพอดีกับผิวจ้า

ที่นี้จะมาลองเทียบให้ดูในเฉดสีเดียวกันระหว่างรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ค่ะ ทางขวาจะเป็น sasi Magic Matte รุ่นใหม่ ส่วนซ้ายจะเป็น Magic Matte รุ่นเก่าตลับขาว จะเห็นได้ว่ารุ่นใหม่จะยังคงคุณภาพด้านการปกปิดจุดด่างดำต่างๆ ได้เป็นอย่างดีไม่แพ้รุ่นเก่าเลยค่ะ เทียบดูกับรูปซ้ายฝั่งซ้ายที่ยังไม่ได้ทา โอ้โห้ คนละโลกมาก

 

และเมื่อทารุ่นเก่าทางด้านขวาจะเห็นได้ชัดเลยว่าสีจะขาวกว่ารุ่นใหม่และติดเหลืองไปค่ะ แต่รุ่นใหม่ก็คือพอดีผิวมากจริงๆ

แล้วปิ่นก็ลองใช้น้องแบบเพียวๆ ไม่มีการลงตัวช่วยอื่นเลย เรียกว่าลงสกินแคร์เสร็จแล้วก็โปะ sasi Magic Matte เลยเพื่อดูประสิทธิภาพว่าน้องยังเจ๋งเหมือนเดิมไหม ก็ให้ภาพมันฟ้องค่ะ จากป้าข้างบ้านกลายเป็นสาวคอนโดไปแล้ว รอยฝ้ากระก็ปกปิดได้ดีทีเดียวแม้จะไม่ได้ใช้รองพื้นหรือคอนซีลเลอร์เลยก็ตาม  ฟินิชผิวโดยรวมก็นวลเนียน ไม่มีโป๊ะแต่อย่างใด

ต่อไปเป็นการทดสอบประสิทธิภาพควบคุมความมันกันค่ะ

ปิ่นออกไปทำธุระนอกบ้านมาตั้งแต่สายๆ จนถึงช่วงค่ำ ผ่านไป 8 ชั่วโมงไม่ถึง 12 ชั่วโมง หน้าเริ่มมันวาวค่ะ วาวบริเวณ T-Zone และเมื่อลองใช้กระดาษทิชชูซับความมันส่วนเกินออก มีแป้งบางส่วนติดออกมากับความมันเห็นได้บนกระดาษทิชชูค่ะ แต่พอซับเสร็จทางด้านซ้ายจะเห็นได้ว่าผิวยังคงดูนวลเนียนเหมือนเมื่อเช้า ไม่มีแหว่งหรือหลุดเป็นดวงค่ะ น้องติดทนใช้ได้ทีเดียว ส่วนเรื่องควบคุมความมันแม้จะไม่ถึง 12 ชั่วโมง แต่ 8 ชั่วโมงโดยไม่ซับไม่เติมปิ่นว่าก็คุมมันได้ดีในระดับหนึ่งเลยค่ะ

ไปดูที่น้องอีกคนหนึ่งกันค่ะ

sasi

Foundation Powder

Magic Glow

8.5 g 139 THB

sasi Magic Glow ตลับสีฟ้าพาสเทล น้องเป็นแป้งพัฟผสมรองพื้นเนื้อแมทประกายชิมเมอร์ ที่มอบผิวสวยเนียนเปล่งประกาย  มีเนื้อบางเบา แนบสนิทกับผิว เป็นธรรมชาติไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน ปกป้องผิวจากแสงแดดด้วย SPF 30 PA++++ สามารถปกปิดได้ตั้งแต่ปานกลาง ถึงสูงสุด เนื้อแป้งติดทน กันนํ้า กันเหงื่อ คุมมัน 12 ชั่วโมงด้วยเทคโนโลยีDouble – Function Fit  ที่สำคัญน้องมีประกายชิมเมอร์จากธรรมชาติขนาดพิเศษ 30 ไมครอน ช่วยให้ผิว เปล่งประกายเมื่อโดนแสงทั้งยังช่วยบํารุงให้ผิวหน้ากระจ่างใสด้วย Vitamin E ค่ะ

เนื้อแป้งในตลับดูอัดแน่น และตลับก็แข็งแรงทนทานเหมือนกับตลับสีชมพูเลยค่ะ

ไม่ว่าจะมีกระจกที่ใหญ่กว่าเดิม และมีชั้นวางพัฟฟองน้ำแยกให้ และตัวบานพับก็แข็งแรงทนทานมากขึ้นเช่นเดียวกัน

จุดสำคัญของแป้ง Magic Glow คือน้องมีประกายชิมเมอร์เมื่อโดนแดดค่ะ ระยิบระยับเล็กๆ พอน่ารัก มีทั้งหมด 3 สีค่ะ

  • 01 Light
  • 02 Medium
  • 03 Warm

ซึ่งโดยส่วนตัวปิ่นคิดว่าสีของรุ่น Magic Glow จะสว่างกว่ารุ่น Magic Matte แต่นั่นก็เป็นเพราะเขาผสมผงชิมเมอร์ลงไปในเนื้อแป้ง ทำให้เกิดการสะท้อนแสงเลยทำให้ดูสีอ่อนกว่าค่ะ

เปรียบเทียบให้ดูเนื้อและสีของแป้งทั้ง 2 รุ่นค่ะ ซ้ายคือ Magic Matte ส่วนขวาคือ Magic Glow จะเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ว่าทางซ้ายจะมอบผิวแมท ส่วนทางขวาจะมีความฉ่ำโกลว์ที่แท้เมื่อต้องแดด อู้วววว สวยมากทั้งสองรุ่นเลย

ขออภัยในความหน้าสด ฮ่าๆ อย่างที่ทุกคนเห็นปิ่นไม่ได้มีผิวที่ดีมากนัก มีรอยดำจากฝ้า กระ และรูขุมขนหน้าแก้มกว้าง ทีแรกก็คิดว่าน้อง Magic Glow อาจจะไม่ช่วยปกปิดมากเท่าไรเพราะเขาเน้นให้ผิวกระจ่าง แต่พอลองทาดู เอ้อ! อย่าว่าไปนา น้องก็ปกปิดดีทีเดียวเพียงแค่อาจจะต้องย้ำหลายครั้งหน่อย ไม่เหมือนรุ่น Magic Matte ที่ปาดไม่กี่ทีก็ปกปิดได้แล้ว

และที่สำคัญเห็นหน้าทางฝั่งซ้ายที่ทา Magic Glow เทียบกับฝั่งที่ไม่ได้ทาไหมคะ นี่คือแค่ลงแป้งนะ ไม่ได้ลงไฮไลท์อะไรเลย คือทาสกินแคร์เสร็จก็ลงแป้งเลยค่ะ จะเห็นได้ว่าผิวฉันฉ่ำวาว ดูนวลเนียนแบบ Glass skin มากกกกกก กรี๊ดดดดด เลิฟความฉ่ำนี้ ลองเอียงซ้ายทีขวาทีผิวก็เปลี่ยนไปตามแสงที่ตกกระทบ โอ้…น้องเอ๋ย…ตกหลุมรักผิวตัวเอง ฮือออ

และเมื่อแต่งหน้าเสร็จก็พบว่าผิวโดยรวมทั้งหมดดูเหมือนแต่งหน้าจัดเต็มทุก step ทั้งรองพื้น แป้งฝุ่น ไฮไลท์ แต่ความจริงคือใช้แค่ sasi Magic Glow ตลับเดียวเลยจ้า หน้าพุ่งยันดาวอังคาร แวววาวดาวลูกไก่มากจ้าที่รัก

แต่สิ่งที่ต้องระวังคือเพราะเขามีประกายชิมเมอร์ สำหรับคนที่มีรูขุมขนกว้างควรปัดแต่เบามือในบริเวณนั้น เพราะถ้าลงหนักจะกลายเป็นการเน้นรูขุมขนให้กว้างขึ้นค่ะ

ส่วนตัวแล้วรักพี่เสียดายน้องมาก เลือกไม่ถูกขอไม่เลือก ฉันจะใช้เธอทั้งสอง ปิ่นจะลง Magic Matte ก่อน แล้วค่อยปัดทับด้วย Magic Glow ด้วยแปรงให้ทั่วหน้า ขอบอกเลยว่าฟินิชผิวดูแพงมาก ทั้งที่ตลับละ 139 บาทเอง ฮืออออออออ คุ้มไม่รู้จะคุ้มยังไงแล้วค่ะ

หาซื้อได้ที่วัตสัน อีฟแอนด์บอย บิวเทรี่ยม Konvy ร้านเครื่องสําอางชั้นนําทั่วไป 

หรือออนไลน์ www.1948beauty.com

#sasiDoubleMagic #เสกผิวเนียนเสกผิวโกลว์

สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน 

แล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้าจ้า

ยานแม่มาประทับ PAT MCGRATH LABS MTHRSHP : Rose Decadence Eye Shadow Palette (limited edition)

สวัสดีค่ะ

วันนี้จะมาแนะนำ eyeshadow palette อีกแล้วค่า 555 ก็แหม…ใช้แล้วชอบ ใช้แล้วเลิฟ สร้างสเน่ห์ให้ดวงตาเราดูสวยขึ้นในยุคที่ต้องใส่แมสก์ปิดปากมีแต่ดวงตาที่โผล่มาช่วงนี้ก็เลยคลั่งไคล้เครื่องสำอางที่ใช้กับดวงตาเป็นพิเศษหน่อยค่ะ

ไม่พูดพร่ำทำเพลง…นั่นๆ ยานแม่มารับแล้ว ขึ้นไปบนยานค่ะ เดี๋ยวปิ่นจะเล่าให้ฟัง

PAT MCGRATH LABS MTHRSHP : Rose Decadence Eye Shadow Palette (limited edition)

PML อีกแล้วแม่ 😂 คือขอสารภาพว่าอิฉันเป็นติ่งเครื่องสำอางยี่ห้อนี้ ไม่ว่าจะเป็นลิป เป็นรองพื้นใช้แล้วออกมาจากยานแม่ไม่ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง eyeshadow palette แต่ละสีแน่น! ชิมเมอร์ก็จึ้ง! มากแม่

แพคเกจเป็นกระดาษแข็งสีหวานลายกุหลาบ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสีข้างในเหมาะกับสาวหวานอย่างฉัน โฮะๆ แล้วก็โปะ Logo สลากทองหรูหราตามสไตล์แม่แพท

และนี่คือ 6 หลุมสังหาร เชือดนิ่มๆ ด้วยสีหวานโทนโอโรสที่ใช้ได้จริงทุกสีเลยค่ะ

มาสวอชสีกัน!

อุแง้! สวยมากจ้า มีสีแมทอยู่ 2 ที่เหลือเป็นชิมเมอร์อลังการตาแตกทุกแยกจริงๆ ค่ะ

“โดนแสงนิดๆ หน่อยๆ”

โอ้สสสสสสส ขออนุญาตเอาหัวโขกยาน!

จะเห็นได้เลยว่าเม็ดสีแน่นเปรี้ยะ! ชิมเมอร์คม! ตามสไตล์ชิมเมอร์ทางฝั่งตะวันตกเลยค่ะ ทึบ! ชัด! จัดจ้าน! แบบ Pat McGrath เลยค่ะ อิฉันเลิฟ

เอาล่ะ ต่อไปมาแต่งตากันค่ะ โดยใช้สีทั้ง 6 นี้เลย! 

ลงสีตามหมายเลขทั้งหมดนี้เลยค่ะ

ใช้ไปเล้ย 6 สี 555 เกลี่ยๆ แล้วนัวสวยมากค่ะ

PAT MCGRATH LABS MTHRSHP : Rose Decadence Eye Shadow Palette

ตวัดพู่กันให้เชิดๆ ตรงหางตาหน่อย ก็จะได้ลุคสีชมพูที่ไม่น่าเบื่อเกินไปค่ะ

ถ้าพูดถึงเรื่องการให้คะแนน เรียกได้ว่าแทบไม่มีตรงไหนให้หัก ส่วนตัวไม่มายด์เรื่องแพคเกจที่เป็นกระดาษอัดแข็ง เพราะมันช่วยประหยัดเงินไปได้เยอะ ส่วนเรื่องเม็ดสี มี 10 ให้ 10 มี 100 ให้ 100 มี fall out บ้างตามประสาเม็ดสีที่แน่นเนือง ปัดออกได้ ไม่เลอะ ไม่เปรอะ ไม่ร่วงกราวเป็นผงแป้งฝุ่นค่ะ

ครีเอทต์ลุคได้อีกเยอะเลย ฮืออออ ชอบมาก!

สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน แล้วเจอกันใหม่จ้า

NARS ORGASM ON THE BEACH review พาเลทที่จะทำให้แก้มคุณเร่าร้อน

สวัสดีค่า

มาพบกับพี่ปิ่นอีกแล้ววววว เฮ….

อาจจะเจอกันจนเบื่อ แต่อิฉันไม่เบื่อ!

วันนี้ก็กลับมารีวิว blush palette ที่ทำให้พี่ปิ่นร้องเฮ้ย! ดังมาก 

สำหรับคนที่ชอบความชิมเมอร์ วิ้ง พริ้งพราวแบบไม่แรงแต่ดูแพงหนักมาก! ต้องชอบแน่นอนค่ะ

NARS 

ORGASM ON THE BEACH

 CHEEK PALETTE

2500 THB

เป็นคอลเลคชั่นล่าสุดที่ NARS ได้ปล่อยออกมาเมื่อกลางปีที่ผ่านมานี่เองค่ะ  แค่แพคเกจก็กินขาดแล้วสี golden rose ขึ้นเงาที่สะท้อนกับแสงได้เป็นอย่างดี ตลับก็แข็งแรงคงทนไม่เหมือนกับตลับสีดำออริจินัล แต่เสียอย่างเดียวคือเป็นรอยนิ้วมือง่ายค่ะ เฮ้ออออ

มาดูภายในกัน โฮ้! ขอไปยืนที่หาดบางแสนแล้วตะโกนว่า “สวยมาก!” 

ภายในประกอบไปด้วยบลัชออน 3 สี ไฮไลท์ 2 สี และเฉดดิ้งอีก 1 รวมแล้วมี 6 หลุมใน 1 พาเลทค่ะ

ไฮไลท์

– MANDALAY

– NAPLES

SHADING

– TURTLE BAY

BLUSH

– ZUMA

– ORGASM

– MONTEZUMA

เพราะมีโลโก้ NARS พาดอยู่ในพาเลททำเอาพี่ปิ่นไม่กล้าใช้เลยค่ะ มันสวยเกินปายยยย ทำใจไม่ด้ายยยยยย แต่สุดท้ายหลังจากที่ทำใจอยู่นานก็ลองเอานิ้วถูมาดูสีค่ะ 

โอ้ยยยยยยย น้องสวยมากกกกก สวยทุกสีเลย!

ยิ่งไปกว่านั้นก็ดูเหมือนเม็ดสีจะเข้มมากด้วยเช่นกัน เอาล่ะ ลองมาปาดแบบเต็ม ๆ กันดูดีกว่าค่ะทุกคน

เอาจริงๆ แล้วสี TURTLE BAY ที่พี่ปิ่นคิดว่าเขาคือ shading นั้น พี่ปิ่นว่าเขาก็สามารถเอามาปัดแก้มได้ค่ะ นัวสวยมากด้วย ไม่ได้ทำให้แก้มดูเปื้อนด้วยค่ะ แต่กลับสวยนวลเหมือนเพิ่งนอนเปลือยกายอาบแดดแถวชายหาดเสร็จใหม่ ๆ ด้วยค่ะ  จุ๊กกรู้!

ปัดเบาๆ ก็สวยแล้วค่ะพาเลทนี้ จะปัดแต่ละสีเดี่ยวๆ หรือจะเอามาผสมกันคือได้หมด ทุกสีลงตัวมากๆ เลยค่ะ

อ่ะต่อไปลองปัดแบบผสม ๆ กันดูนะคะ

อย่างฝั่งนี้ก็ลองเอา ORGASM ปัดให้ทั่วแก้มแล้วไฮไลท์ด้วย MANDALAY ชมพูสวยอ่อน ๆ บาง ๆ ดูแพงมากค่ะ

ส่วนลุคนี้ก็เอาสีเข้มสุดอย่าง MONTEZUMA สีแดงมะเขือเทศสุกก่ำปัดเบา ๆ ให้ทั่วพวงแก้มแล้วทับด้วย NAPLES ที่ออกไปทางน้ำตาลทอง เอ้อ! ก็ออกมานัวสวยเพราะความน้ำตาลทองของ NAPLES มาช่วยเบรคความแดงของ MONTEZUMA ได้เป็นอย่างดีทำให้ทั่วทั้งหน้าดูผ่องนวลค่ะ

วันไหนเบื่อ ORGASM ก็ไป ZUMA เลยค่ะ ZUMA เขาจะออกไปทางส้มผสมชิมเมอร์ทองแต่ก็มีติ่งชมพูนิด ๆ ปัดออกมาสวยพอดิบพอดีและพี่ปิ่นว่าสีนี้เหมาะกับอันเดอร์โทนเหลืองเป็นพิเศษเลยค่ะ

วันไหนอยากสายฝอก็เอา TURTLE BAY มาปัด แล้วทับด้วย NAPLES หรือ MANDALAY ก็สวยเฉี่ยวคมแล้วค่ะ

สำหรับการให้คะแนน ขอให้ตามนี้ค่ะ

เรียกได้ว่าประทับใจทุกตรง

สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน

แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้าค่า

บาย

ติดทนยิ่งกว่าติดหนี้แล้วไม่จ่าย ONE/SIZE Beauty Gel Eyeliner

สวัสดีค่า

สำหรับคนที่ชอบแต่งหน้าไม่ว่าจะอ่อนหรือเข้ม หลายๆ คนมักใช้ Eyeliner เพื่อมาเสริมความสวยคมเข้มให้กับดวงตา และหลายๆ คนมักประสบปัญหาที่ eyeliner ละลายจนมาเปรอะใต้ตากลายเป็นหมีแพนด้าค่ะ ฮืออออ อันนี้เศร้าเพราะเราเคยมีประสบการณ์แย่ๆ แบบนี้ในสมัยที่นัดเดทกับสามีใหม่ๆ ค่ะ โอ้วววว พระเจ้าาาาาาา แต่จากนี้ไปชีวิตฉันจะไม่บ้งเพราะ eyeliner อีกต่อไปค่ะ

จึงอยากแนะนำตัวนี้ ให้ทุกคนได้รู้จักแบบจริง จริ้งงงงงง คือต้องรู้จัก และห้ามผลาดโดยเด็ดขาดเลยค่ะทุกคน

ONE/SIZE Beauty 

Point Made 24-Hour Gel Eyeliner Pencil

1.2 g 750 THB

มี 2 สีให้เลือกค่ะ

สีดำ Bodacious Black และสีน้ำตาล Busty Brown ค่ะ

ปิ่นขอพูดถึง ONE/SIZE Beauty สักเล็กน้อยเผื่อว่าใครอาจจะไม่รู้จักมาก่อนค่ะ

ONE/SIZE Beauty เป็นแบรนด์ของบิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดังที่หลายคนอาจเคยเห็นผ่านตากันมาบ้างในช่องยูทูปซึ่งมีนามว่า แพทริค สตารร์ เป็นลูกครึ่งฟิลิปปินส์-อเมริกัน เคยทำงานที่ MAC Cosmetics มาก่อนทำให้เขาได้ทักษะการแต่งหน้าเรียกได้ว่าหลงใหลการแต่งหน้าจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเลยทีเดียวค่ะ

 จากนั้นจึงเริ่มสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจโดยยึดมั่นในคติที่ว่า “ทุกคนสวยในแบบของตัวเอง” และแพทริคได้ตั้งชื่อแบรนด์นี้ขึ้นมาเพราะหากเป็นเสื้อผ้าก็ต้องหา size ที่เหมาะกับตัวเอง แต่เครื่องสำอางไม่เคยมี size เป็น size เดียวที่สามารถทำให้ทุกคนสวยขึ้นได้ นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อแบรนด์ ONE/SIZE ค่ะ

อันนี้ประทับใจเป็นการส่วนตัวจริง ๆ 

เอาล่ะ มาลองให้ทุกคนดูกันดีกว่า

เนื่องจากเป็นเนื้อเจลจึงมีความลื่นในการเขียนในระดับหนึ่ง แล้วเนื้อก็เนียนเรียบไปกับผิว จะสังเกตเห็นได้เลยว่าเส้นใหญ่ที่ปิ่นเขียนในความจริงจะต้องมีการเขียนซ้ำเพื่อให้เขาอ้วน ซึ่งในการเขียนซ้ำและซ้อนกันแบบนั้นไม่มีการจับตัวเป็นก้อนแต่อย่างใดค่ะ แต่เนียนเรียบไปกับผิวปรื้ดๆ

ในส่วนของเส้นบางก็สามารถเขียนได้โดยได้เส้นที่คมคาย ไม่เทอะทะเลยค่ะ

เนื้อที่เพิ่งเขียนเสร็จใหม่ๆ จะยังมีความเปียกลื่น แต่แค่เรานับ 1-5 น้องก็แห้งติดผิวเหมือนสักเข้าเนื้อเลยค่ะ ดังนั้นหากต้องการเกลี่ยหรือเบลนให้ฟุ้งต้องใช้ความว่องไวและความชำนาญพอตัวเลยค่ะ

มาทดสอบประสิทธิภาพในการติดทนกัน!

เริ่มจากการใช้นิ้วถูเลยค่ะ ถูๆ อยู่หลายสิบรอบ ย้ำ! ว่าหลายสิบรอบ แล้วออกแรงถูกแรงๆ ด้วยนะคะ แต่ดูผลที่ได้ น้องไม่สะเทือนเลยค่ะ  อันนี้อะเมซิ่งมาก

ไม่! เรายังไม่เชื่อ! ไปหาน้ำมาฉีดค่ะ น้ำก๊อกที่บ้านนี่แหละ ล้างแบบไหลผ่านน้ำเป็นผักเลยจ้ะ น้องก็ไม่สะเทือน โอเค… แต่ปิ่นก็ยังไม่เชื่อ! ฉีดน้ำลงไปต่อ แล้วเอานิ้วถูๆๆๆๆๆ ถูจนน้ำแห้ง สิบครั้งแล้วดูผล จะเห็นได้ว่าน้องมีสีที่จางลง แต่จางลงแบบให้เราไม่เสียน้ำใจ จุดที่จางลงคือจุดที่เขียนบางที่สุดค่ะ ที่เหลือก็ยังติดทนยิ่งกว่าติดหนี้แล้วไม่ใช้อีกจ้ะ

ทีนี้เราก็มาลองแต่งหน้ากัน โดยใช้ eyeliner ของ ONE/SIZE เขียนทั้ง eyeliner และ inline จากนั้นไปพิสูจน์ประสิทธิภาพน้องกันต่อค่ะ

โฉบเฉี่ยวไฉไล กรีดตาไปถึงขมับ!

สาดน้ำบึ้ม! 

บ้าเอ้ย! เข้ากกตา เข้าจมูกแสบไปหมด ผู้ช่วยไม่นัด ไม่แนะสักคำว่าจะสาด อิฉันก็แก๊กสวยไว้ตลอด โว้ยยยยย 555

สาดน้ำแรงจนขนตงขนตาหลุด แต่มาดู eyeliner ของ ONE/SIZE กัน คือยังคงอยู่! ไม่ละลาย ไม่ไหล ประหนึ่งสักอาคมลงคาถาคงกระพันชาตรีค่ะพี่น้อง โว้ยยยยย ดีเกินไป๊!

กระทั่ง inline แนวขนตาก็ยังอยู่ไม่หลุดไปไหน เฮ้ยยยยยยย หลุดบ้างก็ได้นะลูกกกกกก

ปิ่นทั้งใช้นิ้วปาด ถู เพราะน้ำมันเข้าตา ตาเตอแดงไปหมด แต่ก็ไม่มีการละลาย ไหลย้อยมาเปรอะตรงใต้ตาหรือหน้าแก้มแต่อย่างใด 

โอเค…

ฉันยอมแล้วจ้ะ…

เป็นอันรู้กันว่าเขาติดทนมาก และไม่ละลายในน้ำค่ะ แต่สามารถล้างออกได้ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นออยล์ทั้งหลายค่ะ รวมไปจนถึง Cleansing Balm 

แปะทิ้งไว้ นับ 1-10 แล้วปาดก็ออกมาแล้วค่ะ ไม่ได้ล้างออกยากมากมายนัก

อีกข้อนึงที่ต้องแจ้งให้ทราบ น้องเป็นแบบเหลาค่ะ ดังนั้นต้องมีกบเหลาเครื่องสำอางติดไว้สัก 1 อันก็จะดีค่ะ หรือจะใช้คัตเตอร์มาเหลาก็ได้ แต่กลัวว่ากว่าจะเหลาให้แหลมตามที่ต้องการอาจเสียเนื้อน้องไปเยอะแล้วก็ได้จ้ะ พอดีหมดก่อน ไม่ทันได้ใช้ค่ะ 555

หากให้คะแนนเต็ม 5 

สีชัด                                         5/5

เขียนง่าย                                 5/5

เนื้อเนียนนุ่ม                           5/5

ติดทน                                      5/5

ความสะดวกในการใช้งาน   4/5

ความคุ้มค่า                            5/5

เรียกได้ว่าเป็น Eyeliner คู่บุญของปิ่นไปแล้วตอนนี้ แม้ว่าราคาจะค่อนข้างสูง แต่เมื่อเทียบกับปริมาณและประสิทธิภาพเรื่องการติดทน อันนี้ยอมจริง ๆ ค่ะ ถือว่าคุ้มมากทีเดียวค่ะ

หากใครสนใจก็มีขายที่ sephora นะคะ

สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน

แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้า

บายจ้า

my cheek feel good with DIOR Rouge Blush

สวัสดีค่ะทุกคน

วันนี้บรรยากาศก็จะอบอวลไปด้วยกลีบกุหลาบที่เบ่งบานบนแก้มอิฉันหน่อยนะคะ อิอิ เพราะเพิ่งได้ลองเข้าวงการ Dior ค่ะ เลยขอเริ่มด้วยบลัชออนตลับสี่เหลี่ยมสีดำสุดหรูก็แล้วกัน

ได้ฟีลแบบถือขึ้นมาปัดก็ดูหรูหรา มีซองกำมะหยี่สีดำมาพร้อมค่ะ กันตลับเป็นรอยเมื่อใส่กระเป๋ารวมกับของอย่างอื่นค่ะ

Dior

Rouge Blush 

#520 feel good

6.7 g 1,950 THB

สีออกแนวส้มอมชมพู สวยมากถึงมากที่สุด ยิ่งตัวหนังสือปั๊มนูนตรงกลางทำให้ไม่กล้าใช้แปรงปาดตรงนั้นเลยค่ะ ต่อไปมา Swatch สีให้ดูกันดีกว่า

สีหวานมากกกก หวานปานกลีบกุหลาบ มีประกายชิมเมอร์เล็ก ๆ พอให้สะท้อนกับแสง ดูนุ่มนวลเปล่งประกายค่ะ

เมื่อลองปัด …

ต้องขออภัยหากกลีบดอกกุหลาบจะลอยตลบอบอวลเต็มหน้าจอ หวานมากกกกก เจ้าหญิงมากกกกก ดูเป็นหญิงสาวแรกแย้ม ปัดแล้วสีนี้ขับผิวอันเดอร์โทนเนทูรัลอย่างปิ่นมาก เพราะมันไปได้ทุกทางไม่ว่าจะผิวเหลืองหรือผิวอมชมพูค่ะ

โดยรวมปัดแล้วผิวดูอมชมพูมีชีวิตชีวา สีนัวสวยละเอียดมากค่ะ

แม้เกลี่ยง่ายไม่เป็นก้อน แต่สีเขาไม่ได้ฉูดฉาดจึงต้องปัดหลายครั้งกว่าจะได้สีที่ชัดเจน ส่วนแปรงที่ให้มาในตลับก็สามารถใช้ได้จริง จิกสีติดดี มีความเฉียงเข้ากับโค้งของแก้มได้เป็นอย่างดีค่ะ แต่ในปริมาณ 6.7 g ราคาถือว่าสูงอยู่ค่ะ หากแต่เทียบกับองค์ประกอบอื่นอย่างความแข็งแรงทนทานของตลับและแปรงที่แถมมาให้แล้วก็พอจะหักลบกลบหนี้ได้อยู่ จึงขอให้คะแนนตามนี้ค่ะ

ถือว่าค่อนข้างชอบบลัชออนตัวนี้ของ Dior ค่ะ และคิดว่าจะลองผลิตภัณฑ์ตัวอื่นของ Dior ดูด้วยเช่นกันค่ะ หากใครมีผลิตภัณฑ์ไหนแนะนำ เม้นเข้ามาบอกกันได้เลยจ้า

สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน

แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้า

บายค่า

how to URSULA สวยเจ้าหญิงไม่ได้ ก็ต้องร้ายให้เป็น!

สวัสดีค่ะ

ช่วงนี้ดูแต่ disney + hotstar แทบทุกวัน วันนี้ก็อยากจะย้อนรำลึกถึงความทรงจำวัยเด็กในการ์ตูนที่ชอบมากๆ เรื่องนั้นคือ little mermaid ดูตอนอยู่ป. 2 ได้มั้ง ก็หักลบอายุเอาเองค่ะว่ากี่สิบปีที่แล้ว 555 ในตอนนั้นตัวละครที่อิฉันชอบกลับไม่ได้เป็นน้องเงือกน้อย แต่กลับเป็น “เออซูล่า” แม่มดปลาหมึกที่ใครหลาย ๆ คนมองว่านางเป็นตัวร้ายนั้นเองค่ะ

ตอนนั้นพี่ปิ่นมีความคิดที่ว่าทั้ง ๆ ที่แม่เงือกน้อยเป็นคนไปทำสัญญาแลกเสียงตัวเองกับขากับเออซูล่าเองแท้ ๆ ทำไมถึงมองว่าเออซูล่าผิดล่ะ? แต่ก็แน่ล่ะนั่นเป็นช่องโหว่วที่ทำให้เออซูล่าใช้สัญญานั้นมาต่อรองเอาอำนาจสิทธิ์ผู้ปกครองมหาสมุทรจากผู้เป็นพ่อที่ต้องการช่วยเอเรียล และนั่นก็เป็นบทเรียนชิ้นสำคัญให้แม่เงือกน้อย โตมาถึงได้รู้ว่าเออซูล่าคือเครื่องทดสอบกิเลส และความโลภที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกสปีชีย์บนโลก ถ้าเอเรียลคิดได้สักนิดก็คงไม่ไปทำสัญญาแลกสิ่งสำคัญเพื่อไปหาผู้ชายที่เจอหน้ากันแค่ครั้งเดียว

พี่ปิ่นรักเสียงใหญ่ แห่บ และทรงพลังของเออซูล่ามาก ถึงขนาดที่ตอนนั้นพยายามหัดร้องเพลงตามในท่อนของเออซูล่าเลยทีเดียวค่ะ ฉันฉายแววนางร้ายแต่เด็กแล้ว! 555 

makeup ของเออซูล่าบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ makeup ในยุค 90 ได้เป็นอย่างดี นั่นคือ “ตาฟ้า” ค่ะ 555 และคิ้วบางเฉียบโก่งโค้ง และปากสีแดงสดตัดกับตาฟ้าฉึบฉับ แก้มชมพูอีกนี่ครบเครื่องเลยค่ะ 555

ดังนั้นการจะโคฟเป็นเออซูล่าจึงต้องใช้สีฟ้าและน้ำเงินจากหลายพาเลท และแน่นอน…แม่เป็นปลาหมึกตัวสีม่วง เราเลยต้องทำตัวม่วงด้วยเช่นกัน! บอกเลยว่าไม่ง่ายค่ะ แต่งเป็นนางร้ายนี่ยากเอาเรื่องมาก ๆ  แต่สุดท้ายก็แต่งเสร็จจนได้ค่ะ

มาดู step how to กันดีกว่าค่ะ อาจจะดูเหมือนเยอะ…ซึ่งก็เยอะจริงๆ นั่นแหละค่ะ 555

นำเอาสีบอดี้เพ้นท์ทั้ง 3 สีซึ่งก็คือ แดง น้ำเงิน และขาว มาผสมกันให้ได้สีม่วงตามที่ต้องการเพื่อเอาไปทาตัวและใบหน้าค่ะ

STEP

: ลงผิวตัวให้เป็นสีม่วง

หลังจากที่ผสมสีได้แล้วก็เอาบอดี้เพ้นท์มาละเลงทาให้ทั่วตัวเลยค่ะยกเว้นใบหน้าก่อนค่ะ

STEP

: ลงรองพื้นที่ใบหน้า

ก่อนจะทาหน้าม่วง ต้องลงรองพื้นก่อนค่ะ ไม่งั้นสีบอดี้เพ้นท์จะหลุดออกง่ายในขั้นตอนถัดไปและยังไม่ต้องลงแป้งฝุ่นทับค่ะ

STEP

: ลงสีบอดี้เพ้นท์ที่ใบหน้า

เอาสีบอดี้เพ้นท์ที่ผสมไว้มาลงใบหน้าเลย! หูเหอลงให้หมด เอาให้เหมือนผิวจริง ไม่ต้องกลัวเละ ถ้าเละก็ทำใหม่ค่ะ 555

STEP

: ลงอายชาโดที่ผิวหน้า

ใช้อายชาโดสีม่วงที่มีสีใกล้เคียงกับที่ลงผิวสีที่ 1 มาลงแทนแป้งฝุ่นเพื่อ set สีบอดี้เพ้นท์ให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้สีม่วงที่เข้มขึ้นมาคือสีที่ 2 มาลงเป็นเฉดดิ้งตามกรอบหน้า และสันจมูกค่ะ

STEP

: ปัดแก้มและไล่สีเฉดดิ้ง

ใช้สีชมพูตามภาพมาปัดแก้ม และนำสีเดียวกันไปไล้เฉดดิ้งให้เนียนจะทำให้จมูกดูซอฟท์ลงไม่เป็นแท่งมากเกินไป

STEP

: ปัดไฮไลท์

ใช้ไฮไลท์ประกายชมพูปัดโหนกแก้ม สันจมูก ปากบน และหน้าผากค่ะ เอาหนักๆ ให้หน้าวาวเป็นคาบาเร่ไปเลย

ใช้เจลไลน์เนอร์สีดำเขียนทรงขอบตาตามภาพและเขียนอินไลน์ทั้งหมดค่ะ หลังจากนั้นก็ใช้แปรงเกลี่ยให้เส้นฟุ้งค่ะ

ต่อไปเป็นการแต่งตาแล้วค่ะ ไม่มีอะไรมาก ใช้สีตามที่ใส่หมายเลขไว้เลยค่ะ

ลง eyeshadow ตามหมายเลขที่ระบุไว้เลยค่ะ เน้นๆ สีน้ำเงินวิ้งชิมเมอร์ที่เปลือกตาบนค่ะ

ปัดคิ้วด้วยเจล แล้วเขียนเติมตรงที่ขาด และบริเวณหางคิ้วค่ะ

ติดขนตาบนโดยใช้ขนตาปลอม 2 อันซ้อนกันเพื่อความหนาค่ะ และใช้ช่อขนตาที่ตัดออกมาติดที่ปลายตาล่างค่ะ

ใช้ลิปสติกสีแดงสดทาให้ทั่วปากค่ะ

“ เติมไฝสเน่ห์ไปอีกหน่อย เสร็จจ้า ”

เอาเสียงเธอมาจ้ะ แม่เงือกน้อย

เป็นยังไงกันบ้างคะกับ how to นี้ 

บอกเลยว่าอย่าหาทำ 5555

ตอนล้างหน้าว่าเหนื่อยแล้ว ต้องมาล้างพื้น ล้างเครื่องสำอางเพราะเผลอเอามือม่วงๆ ไปจับจนเลอะเทอะไปหมดค่ะ😂

ขอบคุณที่ดูจนจบนะคะ ไว้พบกันใหม่ค่า บาย

ผลัดเพื่อเผย THE BODY SHOP HIMALAYAN CHARCOAL SKIN CLARIFYING NIGHT PEEL

สวัสดีค่ะทุกคน

และสวัสดีกับอายุที่เพิ่มขึ้นมาอีก 1 ปีค่ะ ยิ่งสูงวัยเท่าไรเซลส์ผิวที่ตายแล้วก็ใช้เวลาในการผลัดนานขึ้นเท่านั้น จากตอนสาวๆ ที่ไปตากแดดทำกิจกรรมกลับมาตัวดำหน้าดำ แต่แปป ๆ ผิวก็กลับมาใสเหมือนเดิมทั้งที่ใช้แค่ครีมกระปุกเดียว แต่ตอนนี้ซิหน้าคล้ำดำหมองเป็นเดือน ๆ ใช้สกินแคร์เป็นสิบอย่างก็ไม่ผ่องกับเขาเสียที ซึ่งการที่จะให้ผิวเราแข็งแรงและกระจ่างใสได้นั้น ต่อให้มีสกินแคร์ที่ดี แต่เขาก็อาจซึมสู่ชั้นใต้ผิวและไม่ออกฤทธิ์อย่างเต็มที่หากบนผิวด้านบนสุดมีแต่เซลส์ผิวที่ตายค่ะ

และวันนี้ปิ่นอยากจะขออนุญาตพาทุกคนไปรู้จักกับผลิตภัณฑ์ผลัดเซลส์ผิวที่ปิ่นว้าวมากๆ ค่ะ

THE BODY SHOP 

HIMALAYAN CHARCOAL SKIN CLARIFYING NIGHT PEEL

ตัวนี้เขาจะช่วยผลัดเซลล์ผิวพร้อมปรับสภาพผิวให้กระจ่างใสในชั่วข้ามคืนด้วยส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติกว่า 98% 

โดยมีส่วนผสมชูโรงอย่าง 

 สารสกัดชาร์โคล จากถ่านไม้ไผ่ที่ช่วยดีท็อกซ์ผิว ดูดซับความมันส่วนเกิน สิ่งสกปรกและเชื้อโรคที่ตกค้างบนผิว ช่วยทำความสะอาดรูขุมขน

– HIBISCUS FLOWER EXTRACT สารสกัดจากดอกชบาซึ่งมีคุณสมบัติเป็น BHA ธรรมชาติเพราะมีกรดไพรูวิกที่มีฤทธิ์คล้ายกับ AHA แต่อ่อนโยนกว่า ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้ดูเรียบเนียนกระจ่างใส

– ALPINE WILLOW HERB เป็นพืชสมุนไพรบนเทือกแอลป์ช่วยปลอบประโลมผิวและควบคุมการผลิตน้ำมัน

– SALICYLIC ACID ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันในรูขุมขนค่ะ

เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นสีดำ มีความข้นหนืดระดับหนึ่งค่ะ

แต่เมื่อเกลี่ยแล้วเขาค่อย ๆ คลายตัวเปลี่ยนเป็นเนื้อเหลวใสแล้วซึมหายเข้าไปในผิวแทบจะทันที ไม่ทิ้งความมันเหลือไว้บนผิวเลย

ในแต่ละครั้งใช้แค่ 2-3 หยดค่ะ

ใช้แค่เพียงสัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยสลับกับการดูแลผิวปกติของเราค่ะ อย่างปิ่นจะใช้ทุกวัน อังคาร พฤหัส เสาร์ พยายามจะเลือกวันที่วันถัดไปไม่ต้องไปเจอกับแสงแดดมากค่ะอย่างเช่นวันเสาร์เป็นต้น

ที่สำคัญควรใช้แค่ตอนกลางคืนค่ะ และในวันถัดไปก็โบกครีมกันแดดหนา ๆ ไปเลย  

หลังจากที่ใช้มาได้สักระยะหนึ่งผลที่ได้ก็เป็นดังนี้ค่ะ

ความรู้หลังใช้

เอาจริง ๆ คือสามารถรู้สึกถึงผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ในครั้งแรกที่ได้ใช้เลยค่ะ หลังจากที่ทาลงผิว รู้สึกได้เลยว่าชาโคลเขาดูดทุกสิ่งทุกอย่างจริง ๆ แม้กระทั่งน้ำมันบนใบหน้า คือต้องรีบโบกมอยซ์เจอร์ไรซ์เซอร์ลงไปหนัก ๆ เลยค่ะแม้ว่าปิ่นจะมีสภาพผิวเป็นผิวผสมก็ตาม แต่พอตื่นมามันว้าวก็ตรงที่ผิวมันกระจ่างขึ้น เขาไม่ได้ไปลอกผิวแบบน่ากลัว แต่มันเหมือนได้เอารถที่ลุยโคลนไปเข้า car care ออกมาใสกิ๊กยังไงยังงั้น รูขุมขนตรงจมูกของปิ่นมันจะเป็นจุดดำ ๆ เป็นสิวเสี้ยนหัวเล็ก ๆ ดำ ๆ พอใช้ไปแค่ครั้งที่ 4 จุดดำ ๆ พวกนั้นก็ดูน้อยลง สิวอุดตันที่ผุดขึ้นแถวคางก็น้อยลง ผิวดูกระจ่างใสขึ้นเหมือนได้เคลียร์สิ่งสกปรกออกไปอย่างหมดจด ช่วยให้สกินแคร์ตัวอื่นซึมลึกเข้าไปได้ดีกว่าเดิม กลิ่นหอมสดชื่นออกแนวซีตรัสเย็น ๆ ผสมกับกลิ่นชาโคลที่ไม่แรงเกินไปค่ะ

ใครอยากสัมผัสความว้าวแบบเดียวกัน จิ้มสั่งออนไลน์กับ THE BODY SHOP เลยค่ะ

สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน

แล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ

บาย

Swatch HUDA BEAUTY EMERALD OBSESSIONS PALETTE

สวัสดีค่ะ

ช่วงนี้รับน้องๆ อายชาโดพาเลทมาอุปการะเยอะ เพราะโควิดทำให้เราได้แค่แต่งตา(อยู่บ้าน) แล้วก็มาหลงใหลกับพาเลทนี้เข้าอย่างจัง!

HUDA BEAUTY EMERALD OBSESSIONS PALETTE

1300 THB

ไม่ใช่ของใหม่อะไรค่ะ แต่ด้วยความที่เราเป็นคนชอบสีเขียวมากๆ เลยอยากได้อายชาโดพาเลทสีเขียวมรกตแจ่มๆ เก็บไว้สัก 1 อัน ก็หาไปๆ มาๆ ก็มาเจอพาเลทนี้ของ Huda Beauty  นี่แหละค่ะ

สำหรับใครหลายคนคงขอผ่านกับพาเลทนี้เพราะเป็นสีที่แต่งยาก และเอาจริงๆ สังคมบ้านเราก็ยังชอบบุลลี่เวลามีใครแต่งตาสีเขียวว่าเหมือนโดนต่อยอะไรต่อมิอะไร ปิ่นแค่อยากจะบอกว่าถ้าชอบก็อย่าได้แคร์ เราจะแต่งตาสีอะไรก็ได้ที่ชอบ และคู่สีในพาเลทนี้ก็จับมาเข้ากันได้เป็นอย่างดีค่ะ

มา  swatch กันดีกว่า!

เป็นเขียวในอุดมคติ! เป็นเขียวคู่ใจ! เป็นเขียวที่ฝัน! เป็นเขียวเหนี่ยวทรัพย์!

เอาจริงๆ เฉดเขียวที่จับใส่มาในพาเลทเป็นโทนที่แต่งได้ง่ายมากค่ะ ออกไปทางเขียว-ดำ และน้ำตาล-ทอง มีเม็ดชิมเมอร์ประกายละเอียด เม็ดสีแน่น แต่เกลี่ยง่าย  โดยเฉพาะสีแมทน้ำตาลเทาที่ให้มาเป็นโทนสีที่เอามาเบรคสีเขียวได้อย่างลงตัว ไม่ทำให้ดูโป๊ะ หรือดูเหมือนโดนต่อย แต่กลับทำให้เปลือกตาสีเขียวเราดูละมุนมากขึ้นด้วยซ้ำค่ะ  เรียกได้ว่าจะแต่งเบาหรือเข้มก็ไปได้สุดทุกทางจริงๆ

“ความวิ้งของเนื้อชิมเมอร์นี้”

ตามธรรมเนียมการรีวิวของเราวววว ก็จะมีการแต่งตาลองของกันสักเล็กน้อย อิอิ แต่คราวนี้จะมาบอก step how to ด้วยเผื่อมีใครอยากแต่งตาม😂

เอาเป็น look เฉี่ยวๆ ใส่แมสเห็นแต่ตากับคิ้วคมๆ ไปเลยแล้วกันค่ะ! 

STEP 1: ถมดำวาดกรอบเปลือกตา

เราจะทำงานตาก่อนค่ะ เผื่อว่าเลอะจะได้ไม่ต้องลบทั้งหน้า ใช้ดินสอบเขียนขอบตาสีดำมาวาดกรอบ แล้วถมดำบริเวณหางตา แล้วใช้อายชาโดสีดำมาลงต่อโดยเว้นตรงกลางไว้ตามภาพค่ะ

ใช้สีตามเลขที่ระบุไว้ลงตามภาพได้เลย

ลง glitter สีออกเขียวฟ้ามาลงบริเวณขอบอายชาโดด้านบนค่ะ

ลง eyeshadow ที่ขอบตาล่างตามสีที่ระบุไว้เลยจ้า

เขียนขอบตาด้านใน ดัดขนตา ปัดมาสคาร่า และติดขนตาปลอมค่ะ

เขียนคิ้ว แล้วปัดด้วยเจลปัดคิ้วให้ตั้งๆ ฟู ๆ ค่ะ ตรงไหนเป็นช่องว่างขาวๆ ก็ใช้อายไลน์เนอร์มาเขียนเป็นเส้นคิ้วบางๆ ค่ะ

ใช้ดินสอเขียนคิ้วมาวาดทรงกระจับ แล้วทาลิปสติกตามปกติกค่ะ

“ เสร็จแล้วจ้า ”

สำหรับเรื่องคุณภาพแถบไม่มีอะไรให้ติเลยค่ะ มีเพีบงแค่ระดับความหยาบของ glitter ที่ยังหยาบอยู่ในระดับหนึ่งแต่ไม่ถึงขั้นบาดตาอะไร แค่ขนาดเม็ดมันอยู่ในระดับปานกลาง ยังไม่ได้ละเอียดถึงขั้นทาแล้วออกมาเป็น wet look ซึ่งปิ่นก็พอใจและเข้าใจได้ว่าคอนเซปท์เขาต้องการให้ดวงตาดูเป็นประกาย เนท้ออายชาโดนุ่ม fall out มีนิดหน่อยค่ะ เนื่องจากสีนี้เป็นสีที่นานๆ ทีหยิบออกมาใช้ ความคุ้มค่าเลยอาจจะได้คะแนนน้อยหน่อยค่ะ

คะแนนรวม 9/10

เม็ดสี : 9/10

เกลี่ยง่าย : 9/10

Fall out : 8/10

ความคุ้มค่า : 7/10

สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน แล้วเจอกันใหม่จ้า

Natasha Denona Cranberry Palette Review

สวัสดีค่ะ

ได้เวลาเห่อพาเลทตาใหม่แล้ว ช่วงนี้ปิ่นอินกับตาสีแดงอมม่วงมากค่ะ มังคงมังคุดอะไรทำนองนี้ แล้วก็ไปสะดุดเข้ากับพาเลทอายชาโดนี้เข้าอย่างจังค่ะ

NATASHA DENONA

CRANBERRY PALETTE

1900 THB

เห็นในแอพ sephora ค่ะ แต่มีลดราคา 15% เลยจัดมาค่ะ เห็นเนื้อในน้องนางแล้วอยากจะจับขึ้นหิ้ง สีชิมเมอร์นี่แวววาวละเอียดละออเหลือเกิน โดยเฉพาะสีชมพูค่ะ

คันไม้คันมือมาก มา swatch สีกันดีกว่า!

สีน่ารักมากกกกกก 

เม็ดสีชิมเมอร์มีความละเอียด ไม่แตก ไม่ใหญ่จนร่วงติดใต้ตาหรือหน้าแก้ม เนื้อเนียน การกระจายของเม็ดสีมีความสม่ำเสมอไม่เป็นก้อน ตรงนี้ชอบมากค่ะ

แต่ในทางกลับกัน…

สี matte เมื่อสัมผัสกับนิ้วโดยตรงแล้วเนื้ออายชาโดด้านบนจะเริ่มด้านแล้วจิกสีติดน้อยลง ลักษณะเหมือนเอาพัฟชุบน้ำไปปาดแป้งผสมรองพื้นประมาณนั้นค่ะ แนะนำให้ใช้แปรงแต่งหน้ามากกว่าใช้นิ้วปาดสีโดยตรงค่ะ เหมือน formula เขาจะมีปฏิกิริยากับน้ำและน้ำมันจากร่างกายค่ะ

ต่อไป มาลองแต่งตากันดูดีกว่า

ขอกรีดร้องในความนัวสวยนี้!

ทีแรกคิดว่าโทนตาแดงๆ ก่ำๆ อาจจะแรงไปสำหรับสาวไทย เลยแต่งแต่เบามือ ออกมา เอ้า! สวยเฉย! หากลงเข้มแต่งเป็นสโมคกี้ก็จะออกแนวโกธิค มีความแวมพงแวมไพร์ เบต้า อัลฟ้ามาหมด! 

จะธรรมชาติหวานๆ เบาๆ ก็ได้ จะเข้มหนักก็ดีดูมีเสน่ห์ลึกลับเหลือกำหนด ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คด…เดี๋ยวๆๆๆๆๆๆ ไม่ใช่แล้วจ้า😂

มี fall out น้อยค่ะ แม้สี matte ที่เป็นสีแดงเข้ม และน้ำตาลอมม่วงอมแดงก็มี fall out น้อยมาก ซึ่งคงเป็นเหตุผลที่ทางแบรนด์ทำเนื้อออกมาแข็งและด้านง่ายเมื่อโดนนิ้วโดยตรง ส่วนสีชิมเมอร์ไม่มีปัญหาเลย สีชัด สวย ประกายละเอียดมากค่ะ ในเรื่องของความคุ้มค่าต้องขอบอกกันตามตรงว่ามันสวนทางกัน ราคาค่อนข้างสูงในจำนวนสีที่มีเพียง 5 สีซึ่งหากจะยกเรื่องคุณภาพมาคานกันก็ต้องคิดหนักเพราะปัญหาสี matte ที่บอกไปค่ะ

คะแนน

เม็ดสี : 7/10

เกลี่ยง่าย : 9/10

Fall out : 8/10

ความคุ้มค่า : 5/10

ขอลาไปด้วยลุคอัลฟ้าเบต้าเคโรทีน😂

พบกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ

บาย